
ตำนาน ผีญี่ปุ่น แห่งความโศกเศร้าที่มาในตัวแทนดอกไม้สีแดงสดคล้ายเลือด มีนามว่า ดอกลิลลี่สีเลือด หรือ ดอกฮิกันบานะในประเทศญี่ปุ่น โดยดอกไม้ดังกล่าวมีลักษณะชูช่อออกดอกสีแดงสดเต็มท้องทุ่ง เมื่อออกดอกก็จะพลัดใบร่วงหล่นลงจากต้น ทำให้มีความเชื่อว่าดอก ฮิกันบานะ เป็นตัวแทนแห่งการพลัดพรากลาจาก อีกทั้งชาวญี่ปุ่นมักจะปลูกดอกฮิกันบานะไว้บริเวณหลุมศพเพื่อป้องกันหนูแมลง และยังช่วยคลุมดินบริเวณหลุมศพให้สวยงามอีกด้วย
ทำให้มีความเชื่อว่าดอกฮิกันบานะเป็นดอกไม้นำพาความโชคร้าย การพลัดพรากลาจากมาให้ผู้ที่ปลูก จึงไม่มีการปลูกดอกฮิกันบานะในบริเวณบ้าน นอกจากนี้ดอกฮิกันบานะยังเป็นดอกไม้ที่มีพิษอีกด้วยหากใครบริโภคไปจำนวนมากอาจทำให้ร่างกายเป็นอัมพาต และถึงขั้นเสียชีวิตได้ เพราะในเมื่อครั้งอดีต

ได้มีการนำดอกฮิกันบานะมาปรุงรสเป็นอาหารทำให้มีผู้เสียชีวิตจากการรับประทานดอกฮิกันบานะเป็นจำมากนวนมาก จนได้ชื่อว่าเป็นดอกไม้แห่งความโชคร้ายและพลัดพรากเลยทีเดียว
อีกทั้งดอกฮิกันบานะมักจะเบ่งบานออกดอกครั้งแรกในช่วงวัน วสันตวิษุวัต เป็นวันที่มีเวลากลางคืนยาวนานพอ ๆ กับกลางวัน ชาวญี่ปุ่นจะเรียนวันดังกล่าวว่าช่วง Higanซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เปลี่ยนจากฤดูร้อนเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง อีกทั้งประเทศญี่ปุ่นยังมีเทศกาล O-Higan เป็นเทศกาลที่ชาวญี่ปุ่นกลับไปเคารพไหว้หลุมศพญาติผู้ที่ล่วงลับไปแล้วซึ่งเป็นช่วงที่ดอกฮิกันบานะเบ่งบานนั้นเอง
ตำนานผีญี่ปุ่น ดอกไม้สีเลือด

มีเรื่องเล่าของดอกไม้สีเลือดว่าในแดนสวรรค์มีเทพีแห่งดวงอาทิตย์ และมีเทวาอารักษ์ดอกไม้ต่างๆอยู่ในอำนาจ ของเทพีดวงอาทิตย์ซึ่งมีนามว่า อามะเทราสึ ต่อมาได้มีเทวาอารักษ์คู่หนึ่งต่างก็ตกหลุมรักกันและขอเทพีอามะเทราสึให้ตนทั้งคู่ได้ดูแลดอกฮิกันบานะร่วมกัน แต่ความรักของเทวาอารักษ์ผิดกฎสวรรค์ทำให้เทพีอามะเทราสึโกรธเป็นอย่างมาก จึงสาปให้ทั้งคู่ไปเกิดเป็นดอกไม้บนโลกและทำให้พลัดพรากจากกันชั่วนิรันดร์ ทำให้เทวดาอารักษ์ตนหนึ่งได้มาเกิดเป็นดอกฮิกันบานะ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ในการพลัดพรากลาจากและมักจะถูกปลูกไว้ในหลุมศพ ในขณะที่เทวาดาอีกตนได้เกิดเป็นดอก มันจูซาเกะมีลักษณะดอกเหมือนกับ ฮิกันบานะ แต่จะมีดอกสีขาวมักจะปลูกไว้ในวัด หรือ ศาลเจ้าต่างๆเป็นสัญลักษณ์ของความมงคล จึงทำให้ทั้งคู่ไม่ได้กลับมาพบกันอีกแม้จะเกิดบนโลกเหมือนกันก็ตาม